มินจีเปิดใจเคยคิดฆ่าตัวตายเพราะซึมเศร้าและเผยสิ่งที่ทำให้เธอออกจาก 2ne1

ไอดอลสาวมินจีได้เปิดใจเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตายเพราะหดหู่ซึมเศร้า รวมทั้งเล่าถึงสิ่งที่ทำให้เธอออกจากวง 2ne1

มินจีอดีตน้องเล็กวง 2ne1 ให้สัมภาษณ์กับเจฟฟ์ เบนจามินจากบิลบอร์ด (Billboard) เป็นครั้งแรกและได้เล่าถึงช่วงเวลาที่ทุกข์ใจตอนอยู่ 2ne1 ที่เธอทั้งรู้สึกสับสนและไม่มั่นคง

ที่ห้องของเธอในโรงแรมในเมืองลอสแอนเจลิส มินจีดูสบายๆขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่นด้วยเสื้อฮู้ดสีชมพูดสดใส เธอเป็นมิตรและเข้าถึงง่ายขณะพูดคุยอย่างเป็นกันเองและตอบคำถามด้วยตายิ้ม ไอดอลสาวเผยว่าการเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีทำให้เธอขาดทักษะการเข้าสังคม

มินจีกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไรค่ะ เนื่องจากฉันยังเด็กมากในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม ฉันไม่เคยเรียนรู้ถึงการเข้าสังคม ฉันไม่มีเพื่อนวัยเด็กเลยจริงๆค่ะ ฉันไม่เคยออกไปเล่นข้างนอกกับเด็กคนอื่น ฉันเพียงแค่ฝึกหัดและทุกคนรอบตัวต่างอายุมากกว่าฉันค่ะ”

มินจีกล่าวต่อ “คนทั่วไป ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่ใช่วงที่สวยที่สุด เราเป็นวงที่ขี้เหร่ ฉันไม่รู้จะรับมือกับมันอย่างไรและต้องอดทนเก็บไว้ข้างใน มันเป็นเรื่องยากในฐานะเกิร์ลกรุ๊ป เราต้องแสร้งทำเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่และพยายามลืมๆมันไป แต่คุณไม่สามารถลืมมันได้–มันยาก ฉันพยายามปรับตัวเติบโตให้ทันพี่ๆในวง แต่เมื่อคุณไม่เหมือนกับเกิร์ลกรุ๊ปที่ดูเหมือนนางแบบและคุณทำสิ่งที่ต่างกัน เท่แต่แตกต่าง–คุณจัดการกับมันด้วยวิธีที่ต่างออกไป”

อย่างไรก็ตามวง 2ne1 ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังจากเดบิวต์และมีเพลงที่ได้รับความนิยมออกมามากมาย ลบคำสบประมาทที่ว่าพวกเธอขี้เหร่ไปได้ มินจีกล่าวว่า “ฉันขึ้นเวทีและทุกคนต่างส่งแรงสนับสนุนให้ฉัน พวกเขารักฉันค่ะ แต่หลังจากจบการแสดงบนเวทีฉันอยู่ในโรงแรมและรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกเหมือนมีชีวิตแค่ตอนอยู่บนเวที ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันเป้นอย่างไร ไม่แน่ใจว่าชีวิตดีกว่าในขณะแสดงหรือชีวิตอาจจะดีกว่าเพียงแค่อยู่คนเดียว มันช่างแตกต่างกันมากแต่ฉันไม่มีเวลาที่จะหาวิธีปรับสมดุลระหว่างการอยู่บนเวทีกับการอยู่คนเดียวค่ะ”

มินจีเผยว่าเพราะวงประสบความสำเร็จมากเธอจึงไม่สามารถปล่อยเพลงหรือเป็นศิลปินเดี่ยวได้ แม้ว่าเธอจะเตรียมตัวและบันทึกอัลบั้มเดี่ยวของเธอเองแต่มันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆและในที่สุดก็ถูกยกเลิกเนื่องจากปัญหาที่แตกต่างกันของศิลปินในค่าย YG ไอดอลสาวเผยว่า “มันไม่เพียงพอที่จะทำงานของฉันให้เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาเอาแต่เลื่อนมันออกไปและเมื่อมาถึงขั้นพื้นฐานของทุกอย่างคุณก็ไม่รู้รายละเอียด”

มินจีพูดถึงเพื่อนสมาชิก 2ne1 ว่าพวกเธอเป็นเหมือนพี่สาวและกล่าวว่า “พวกเราทุกคนต่างอยู่ติดบ้านดังนั้นความจริงแล้วเราแค่ดูทีวีอยู่บ้านด้วยกันและเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด อย่างน้อยสำหรับฉันแล้วความทรงจำเหล่านั้นช่างอบอุ่น บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังเด็กหรือเปล่า? แต่โลกเป็นเหมือนสถานที่แปลกหน้าสำหรับฉัน ดังนั้นช่วงเวลาเหล่านั้นจึงใกล้ชิดกับหัวใจของฉันค่ะ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันมากกว่าชื่อเสียง แต่เนื่องจากมันใช้เวลานานขึ้นและนานขึ้นในการปล่อยอัลบั้มของเรา พราจะได้พบกันจริงๆเมื่อถึงตอนวางแผนอัลบั้มเนื่องจากทุกคนเริ่มทำงานของตัวเองฉันจึงใช้เวลากับพวกพี่ๆน้อยลงค่ะ”

ไอดอลสาวเผยว่าเกาหลียังให้ความสนใจและการสื่อสารกับผู้ป่วยทางสุขภาพจิตน้อยและทำให้เธอไม่สามารถหาความช่วยเหลือได้ แต่เท็ดดี้ที่เป็นโปรดิวเซอร์ใน YG เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเธอ

“เนื่องจากฉันเด็กที่สุดพี่เท็ดดี้จึงคอยให้กำลังใจฉันค่ะ เขาจะพูดประมาณว่า ‘ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกหดหู่และลำบากจากภาวะซึมเศร้า แต่เธอเชื่อในพระเจ้าดังนั้นเธอจะผ่านมันไปได้’ ฉันมีความทรงจำที่ดีต่อพี่เขาค่ะ ฉันรู้สึกขอบคุณพี่เขาจริงๆและมองเขาเป็นคนดีในชีวิตที่ทำให้ฉันก้าวต่อไปแม้ว่าจะซึมเศร้าอย่างเลวร้ายที่สุดค่ะ”

มินจีเผยว่าเธอเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงและไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เธอรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ศาสนาช่วยเธอฟื้นฟูสุขภาพจิต “ตอนฉันอายุ 17, 18 ฉันได้พบกับพระเจ้า ฉันพบศรัทธาของตัวเองที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปอย่างมาก ผู้คนที่มีศรัทธาเดียวกันและกำลังใจเดียวกันได้เข้ามาในชีวิตของฉัน แต่ฉันสามารถพูดถึงชีวิตตัวเองได้อย่างกล้าหาญค่ะ มันไม่ใช่ว่า ‘โอ เธอดีขึ้นนะ’ แต่มันคือ ‘เราเข้าใจความลำบาก และมันโอเคที่จะลำบาก มันโอเคที่จะรู้สึกแย่ แต่เรามาคิดถึงมันและจัดการมันและมีศรัทธาค่ะ’ ฉันเข้าถึงมันได้ค่ะ”

เรื่องการออกจากวง 2ne1 มินจีกล่าวว่า “ฉันต้องการเวลาในการจัดการกับโรคซึมเศร้า หาหนทางของตัวเองและคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันอยากทำจริงๆ มันเป็นสิ่งที่ฉันทำมายาวนานแต่มันยากที่จะคงรักษาไว้ ฉันได้พบหนทางของตัวเองและมีเพียงทางเดียวคือการออกจากวงและสู้เพื่อสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันสงสัยว่า ‘ชีวิตของฉันคืออะไร?’ การออกจาก 2ne1 ไม่ใช่การทิ้งหรือการแยกวง มันคือสิ่งที่ฉันสู้เพื่อตัวเอง เพื่ออนาคตและสิ่งที่ฉันต้องการ ในที่สุดฉันก็ได้เลือกบางสิ่งเพื่อตัวเอง ฉันรู้สึกกดดันและเป็นภาระ แต่มันเป็นภาระที่ดีค่ะ”

มินจีกล่าวว่าเธอยากช่วยเหลือให้คนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเอาชนะมันให้ได้ และอยากให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเองต่างเป็นที่รักเช่นกัน จากนั้นจึงพูดถึงภาวะซึมเศร้าของเธอหลังจากการสูญเสียจงฮยอน SHINee ว่า “มันทำให้ฉันนึกถึงตัวเองและเข้าใจว่าทำไมเขาจึงอยากหนีไป ฉันอยากให้ไอดอลเด็กๆและไอดอลหน้าใหม่รู้ว่าความสำเร็จในโลกไอดอลมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมากไปกว่าการจำเป็นต้องใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง” ไอดอลสาวรับว่าเธอเองเคยคิดอยากฆ่าตัวตายเช่นกัน

มินจีทบทวนตัวเองและเปลี่ยนความคิดแล้วในตอนนี้ เธอกล่าวว่า “ในขณะที่ฉันเข้าถึงตัวเองฉันก็กลายเป็นคนที่ต่างไป ฉันมีประสบการณ์ผ่านอุปสรรคมาจนถึงปลายทางได้” เมื่อมองย้อนกลับไปดูตัวเองมินจีกล่าวว่า “ฉันอยากจะช่วยผู้หญิงคนนั้นค่ะ”

อนึ่ง มินจีเพิ่งปล่อยซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษด้วยเพลง All of You Say คุณสามารถชมมิวสิควีดีโอได้ด้านล่างเลย

แปลจาก soompi โดย Youzab หากนำออกไปกรุณาให้เครดิตด้วย (ไม่อนุญาตให้ Hotlink ไฟล์ภาพ)

ตอนนี้แฟนๆสามารถติดตามเราได้อีกช่องทางสามารถตาม Follow เราได้เลยที่นี่ ==>> IG YOUZAB

Happy Unni ร้านค้าแฟชั่น

อูยอง 2PM เผยเขาเคยอยู่ในภาวะซึมเศร้าคล้ายกับจงฮยอน

อูยอง 2PM เปิดเผยว่าในอดีตเขาเคยอยู่ในภาวะซึมเศร้าคล้ายๆกับจงฮยอน SHINee

ในวันที่ 15 มกราคม 2018 อูยองได้ให้สัมภาษณ์กับ TV Report ที่คาเฟ่ในกังนัมในช่วงที่เขากำลังคัมแบ็คมินิอัลบั้มชุดที่สอง

เมื่อถามว่าทำไมเขาถึงขาดการโปรโมทเดี่ยวไปนานเมื่อเทียบกับสมาชิก 2PM คนอื่นๆและใช้เวลากว่า 5 ปีกว่าจะคัมแบ็ค อูยองได้พูดถึงการจากไปของจงฮยอนและกล่าวว่า “ผมได้ฟังข่าวที่น่าเสียใจเกี่ยวกับจงฮยอน ผมเชื่อว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะเขาต่อสู้กับมันมาหนักกว่าผม แต่ผมเข้าใขเขาอย่างมากและผมเชื่อว่ามีคนดังอีกมากที่ผ่านสถานการณ์คล้ายๆกัน ผมก็เคยผ่านสถานการณ์แบบนั้นเหมือนกันเมื่อ 5 ปีที่แล้วครับ”

อูยองกล่าวต่อ “ภาวะซึมเศร้าของจงฮยอนดูเหมือนกับเรื่องราวของผม ในตอนนั้น ผมอยากเอาชนะให้ได้ไม่ว่าทางใด ผมคิดถึงเพียงเพื่อนสมาชิก 2PM ผมอาจจะจบมันแต่ผมคิดว่าผมไม่สามารถจบมันได้ง่ายๆ ผมคิดว่าผมต้องเข้มแข็ง”

จากนั้นเขากล่าวถึงวิธีที่เขาสามารถเอาชนะภาวะซึมเศร้าของตัวเอง เขากล่าวว่า “ผมพบวิธีของตัวเอง ผมเรียนรู้ที่จะวาดภาพ ผมพยายามไปดำน้ำ และพึ่งพาพี่ๆที่อยู่นานกว่าผม ผมเอาชนะได้โดยการอ่านหนังสือและดูสารคดีครับ”

แปลจาก allkpop โดย Youzab หากนำออกไปกรุณาให้เครดิตด้วย (ไม่อนุญาตให้ Hotlink ไฟล์ภาพ)

ตอนนี้แฟนๆสามารถติดตามเราได้อีกช่องทางสามารถตาม Follow เราได้เลยที่นี่ ==>> IG YOUZAB

Happy Unni ร้านค้าแฟชั่น

อีทึกก้าวผ่านการซึมเศร้าจากการเสียชีวิตของพ่อที่ทิ้งหนี้ไว้ให้ราว 150 ล้านบาทมาได้และให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้

leeteuk_1480094545_af_org

นับว่าเขาไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนถึงความยากลำบากทางกายและใจที่ต้องเผชิญ และล่าสุดอีทึกลีดเดอร์วง Super Junior (ซุปเปอร์จูเนียร์, SJ) ได้เผยว่าเขาต้องก้าวผ่านอาการซึมเศร้าจากการเสียชีวิตของพ่อของเขาที่ฆ่าตัวตายจากไปพร้อมกับปู่และย่า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2016 อีทึกได้เป็นวิทยากรพูดในงาน ‘ไม่มีความหวังหากไร้ความสิ้นหวัง’ ซึ่งอีทึกได้เปิดเผยเรื่องราวสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเขาที่มีผลต่อจิตใจและสถานะการเงินของเขา

อีทึกรำลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อและปู่ย่าของเขาในเดือนมกราคม 2014 และกล่าวว่า “ขณะที่ผมรับใช้ชาติอยู่ในกองทัพ ผมต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า และเมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของคนในครอบครัว มันจึงยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากของผม”

นอกจากนี้อีทึกยังเปิดเผยจดหมายที่พ่อเขาทิ้งเอาไว้ให้ ผู้ที่ฆ่าตัวตายหลังจากปลิดชีวิตปู่และย่าของอีทึก ซึ่งข้อความนั้นมีขีดเส้นใต้ไว้ว่า “ลูกคิดว่าลูกประสบความสำเร็จเพียงคนเดียวหรือ?” ซึ่งดูเหมือนเป็นข้อความที่พ่อส่งให้กับอีทึกโดยตรง

ไม่เพียงแค่นั้น อีทึกเผยว่าพ่อเขายังทิ้งหนี้เอาไว้ให้ถึง 5,000 ล้านวอน (ประมาณ 151 ล้านบาท) และเพื่อจ่ายหนี้ให้พ่อทำให้อีทึกขายรถของเขารวมทั้งทำงานหนักขึ้นทำให้มีเวลานอนเพียง 4 ชั่วโมงในสามวันเพื่อทำงานตามตารางงานในแต่ละวัน และแม้ว่าเขาจะสามารถเป็นอิสระในการจ่ายหนี้หากยกเลิกการรับมรดกตามกฎหมายมรดกก็ตาม แต่อีทึกเผยว่าเขายังคงจ่ายหนี้ต่อไปโดยเห็นแก่พ่อ และทำสิ่งที่ถูกหลักจริยธรรม

ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นความจริงใจของอีทึกเป็นอย่างมาก เพราะเขาได้เล่าเรื่องสะเทือนใจของตัวเองเพื่อเป็นการเยียวยาและให้กำลังใจต่อผู้ฟัง และนี่ทำให้แฟนๆของเขาถึงกับเสียน้ำตาเมื่อรู้ถึงความยากลำบากที่ไอดอลหนุ่มต้องเผชิญมา

แฟนๆแสดงความเห็นว่า “เราไม่รู้เลยว่าพี่เขาลำบากขนาดนี้” ส่วนชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เขาทำงานหลายรายการมากและยังคงทำงานหนักมาก…” กับ “ฉันไม่ได้เป็นแฟนคลับเขาด้วยซ้ำ แต่ฉันอยากให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายหนี้ให้ก็ได้แต่เขามีความรับผิดชอบ”

หากคุณกำลังมีทุกข์และเผชิญกับเรื่องที่ร้ายแรงก็อย่าเพิ่งท้อแท้และหมดหวัง เพราะคุณอาจจะก้าวผ่านมันมาได้อย่างอีทึก Super Junior ก็ได้

แปลจาก allkpop โดย Youzab หากนำข่าวออกไปกรุณาให้เครดิตด้วย (ไม่อนุญาตให้ hotlink ไฟล์ภาพ)

8 ไอดอลผู้ที่สดใสเมื่ออยู่ต่อหน้ากล้องแต่ใครเลยจะรู้ว่าเขาและเธอต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้ารุนแรง!!

เผยรายชื่อ 8 ไอดอลชื่อดังในวงการบันเทิงเกาหลีที่ตอนอยู่หน้ากล้องเขาและเธอต่างมีความสดใสอยู่เสมอ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่ออยู่หลังกล้องหรืออยู่เพียงลำพัง พวกเขากลับต้องเผชิญกับอาการซึมเศร้าที่โหดร้าย

แน่นอนว่าชีวิตในวงการบันเทิงนั้นไม่ง่าย แต่การมีชีวิตในวงการบันเทิงเกาหลีหรือในแวววง K-Pop นั้นยิ่งยากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวางตัว ความเครียด การถูกจำกัดอาหารและต้องทนกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ยิ่งถ้าคุณดังเท่าไหร่ยิ่งต้องทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลานอนหรือเวลาพักผ่อนกับครอบครัวเลย

สิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมากคือการถูกวิพากษ์วิจารณ์และจับผิดจากชาวเน็ตทั้งหลายจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ หรือต้องอยู่อย่างปิดบังหรือหวาดระแวง ทั้งชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการออกเดทก็ตาม และตอนนี้เราได้เปิดเผยรายชื่อไอดอลที่ต้องพบกับอาการหดหู่ซึมเศร้าเพราะความอ่อนล้าทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไอดอลที่ต้องผ่านความลำบากมีดังนี้

1. จีดราก้อน (G-Dragon) วงบิ๊กแบง (Big Bang) แน่นอนว่าจีดราก้อนเป็นที่รู้กันดีในความแหวกความฮิพ ความนำเทรนด์ในเรื่องต่างๆซึ่งดูเหมือนว่าอุปสรรคต่างๆแทบไม่สามารถทำลายเขาได้เลย แต่อย่างไรก็ตามจีดราก้อนเคยยอมรับว่าเขาเคยเผชิญกับโรคซึมเศร้ามาก่อน

จีดราก้อนเคยสารภาพในรายการทีวีว่าหลังจากที่ซิงเกิ้ล Heart Breaker ของเขากลายเป็นประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับการลอกเลียนแบบ ทำให้เขาหลบเลี่ยงการเข้าสังคมรวมทั้งพ่อแม่และเพื่อนๆของเขาด้วย เขากล่าวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผมรู้สึกราวกับว่าผมเป็นอาชญากร ผมซึมเศร้าเป็นเวลานานเลยครับ”

2. ซูจี miss A แน่นอนว่ารักแรกแห่งชาติอย่างซูจีผู้ที่มีผลงานที่โด่งดังมากมาย รวมทั้งเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาหลายแห่ง เธอมักประสบความสำเร็จเสมอทั้งในสายงานเพลง งานละครและวาไรตี้โชว์ เรียกได้ว่าแทบไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เธอซึมเศร้าได้เลย แต่เธอเปิดเผยว่าเธอเองเคยมีอาการซึมเศร้ามาเช่นเดียวกัน

ในปี 2013 ซูจีสารภาพออกรายการทีวีว่าต้องต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง โดยกล่าวว่า “ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าและฉันไม่สามารถบอกใครได้เป็นเวลาช่วงหนึ่งเลย ฉันเคยเริ่มคิดด้วยซ้ำว่าฉันคงไม่สามารถอยู่ถึงวันสุดท้ายได้ วันหนึ่งฉันกำลังแชทกับเพื่อนๆและหัวเราะกับมุกตลก แต่แล้วอยู่ๆฉันก็เริ่มร้องไห้ค่ะ”

3. โจควอน 2am เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง โจควอนจะทำตัวเป็นแฮปปี้ไวรัสที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ใครจะรู้เลยว่าเขาต้องผ่านกับความทุกข์ยากอะไรมาบ้าง

อาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจหากรู้ว่าโจควอนมีช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานในช่วงเป็นเด็กฝึกที่ยาวนานของเขา โดยโจควอนใช้เวลาเป็นเด็กฝึกยาวนานถึง 8 ปี แน่นอนว่าเขาไม่ยอมแพ้และสามารถผ่านมันมาได้จนกลายเป็นโจควอนที่แข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้

4. ลิซซี่ After School, Orange Caramel ใครๆต่างชินกับรอยยิ้มที่สดใส และหน้าตาที่บ่งบอกถึงความอารมณ์ดีอยู่เสมอของลิซซี่ แต่เธอเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ซึมเศร้ามาเช่นกัน

ในตอนเริ่มแรกของรายการ Running Man ลิซซี่เป็นสมาชิกหลัก แต่หลังจากที่เธอออกจากรายการก็เริ่มเป็นโรคซึมเซร้าเมื่อสื่อรายงานว่าเธอไม่เคยเป็นสมาชิกรายการด้วยซ้ำ และเป็นเพียงแขกรับเชิญระยะยาวเท่านั้น

5. ท็อป (T.O.P, ชเวซึงฮยอน) บิ๊กแบง (Big Bang) หนุ่มหล่อสุดเพอร์เฟคทั้งหน้าตา ชื่อเสียงและชาติตระกูลอย่างเขาก็ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเช่นกัน

ในปี 2008 มีการรายงานว่าท็อปต้องทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลต่อเรื่องต่างๆ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าอีกด้วย

6. บาโร B1A4 แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่บาโรเผยว่าเขารู้สึกซึมเศร้าเมื่อไม่ได้พบกับเพื่อนนักแสดงจากเรื่อง Reply 1994 เหมือนอย่างเดิมอีกหลังจากปิดกล้อง เนื่องจากทุกคนต่างมีตารางงานยุ่งและการนัดพบกันจึงเป็นเรื่องยาก ไม่เหมือนกับตอนที่ถ่ายทำอย่างสนุกสนานด้วยกัน

7. จินอุน 2am หนุ่มอารมณ์ดีอย่างจินอุนเปิดเผยว่าเขาต้องพบกับโรคซึมเศร้าหลังจบทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกา เขานอนไม่หลับเป็นเดือนๆและต้องการอยู่เพียงลำพัง

8. ฮีชอล Super Junior เป็นที่รู้กันดีว่าฮีชอลขึ้นชื่อในความตรงไปตรงมาในการแสดงความคิด แม้กระทั่ง SM เขายังกล้าจิกกัดอย่างเปิดเผย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังสร้างสีสันให้กับรายการต่างๆอยู่เสมอ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะเคยพบกับช่วงเวลาที่หดหู่เช่นกัน

หลังจากฮันเกิงออกจากวง Super Junior ฮีชอลที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาเลยตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เขาปิดตัวเองและไม่ปรากฏตัวขึ้นแสดงบนเวทีเกือบสามเดือน และคนที่ช่วยดึงเขาออกมาจากความทุกข์นี้คืออึนฮยอกที่พูดกับเขาว่า “พี่ครับ เราไม่จำเป็นต้องมีพี่ร้องหรือเต้นกับเรา แต่เราต้องการพี่เพราะหากไม่มีพี่วง Super Junior จะไม่เหมือนเดิม”

หวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากไอดอลที่เรารัก พวกเขาต่อสู้กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก และไม่ว่าจะมีชื่อเสียงหรือมีเงินมากแค่ไหนทุกคนย่อมต้องพบกับความทุกข์ใจทั้งนั้น ขอเพียงแค่ไม่ยอมแพ้และเอาชนะมันให้ได้อย่างพวกเขา ตอนนี้ทุกคนต่างมีชีวิตที่ดีทั้งประสบความสำเร็จและโดดเด่นในวงการบันเทิงแม้จะเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อน

แปลจาก koreaboo โดย Youzab หากนำข่าวออกไปกรุณาให้เครดิตด้วย (ไม่อนุญาตให้ hotlink ไฟล์ภาพ)

Like แฟนเพจของเราเพื่อติดตามข่าวสารอัพเดทก่อนใครได้ที่นี่เลยจ้า